Saturday, 20 April 2024
ECONBIZ

แห่ชมดูลุงปลูกสตรอเบอรี่ 2 เดือน ได้กินลูก จ.ปราจีนบุรี

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านสัมพันตาใหม่ หมู่ที่15 ตำบลวังตะเคียน อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี พากันไปดูสวนสตรอเบอรี่ในทุ่งนาของคุณลุงศรี ผันนลา หรือ ลุงมนตรี ผันนลา อายุ 61 ปี ซึ่งหันมาทดลองปลูกสตอเบอรี่สายพันธุ์พระราชทาน 80 ซื้อมาจากจังหวัดเชียงใหม่ ต้นละ 15 บาท จำนวน 200 ต้น และได้ทดลองปลูกในที่นา

หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวปลายเดือน พ.ย. 65 ที่ผ่านมา โดยใช้รถไถยกร่องสูง 30 ซม. กว้าง 30 ซม.ได้นำต้นพันธุ์ที่ซื้อมาปลูกใส่หลุมที่เจาะหลุมกว้าง 15 ซม. แล้ววางลงในหลุมที่เจาะเป็นรูระยะห่างแถว 20×20 ซม.

ทั้งนี้ หลังจากปลูกแล้วรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ใช้น้ำใส่ถังสำหรับรถน้ำต้นไม้เทลาดผ่าน สลับกับการใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพทำขึ้นมาเอง สลับกับเครื่องดื่มชูกำลังผสมกับผงชูรส แล้วนำมารดทุก 3 วัน สตรอเบอรี่เริ่มออกดอกติดลูกเมื่อมีอายุ 45 วัน และลูกจะแก่ภายในวัน 50 วัน เป็นการทดลองและศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทดลองชำยอดสตรอเบอรี่เพื่อไว้ขยายพันธุ์ โดยนำถุงพลาสติกขนาดเล็กผสมดินเล็กน้อยครึ่งถุง นำส่วนยอดที่แตกตารากกดลงไปในถุง 10 วันให้หลัง รากจะเดินเต็มที่ ตัดออกจากต้นแม่ รอการขยายพันธุ์ต่อไป

รมว.สุชาติ จัดมหกรรมสร้างอาชีพ สร้างรายได้ พลิกโฉมตลาดแรงงานไทย

วันที่ 11 มกราคม 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการมหกรรม รวมพลัง สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ภายใต้นโยบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด ฟื้นฟู พลิกโฉมตลาดแรงงานไทย” โดยมีนางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดชลบุรี ร่วมให้การต้อนรับ ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค.) จังหวัดชลบุรี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากการระบาดของโควิด 19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อแรงงานไทยเป็นอย่างมาก กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงผลกระทบด้านแรงงานที่ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลง ภายหลังสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงแรงงานพบว่าอัตราการจ้างงานลดลง เนื่องจากการปรับตัวทางธุรกิจของสถานประกอบการ ซึ่งเน้นการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์และปรับตัวเป็นดิจิทัลมากขึ้น การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ ทำให้ลดการจ้างแรงงานในระบบมากขึ้น ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ที่ทำให้แรงงานในระบบ ต้องพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานของตนเองให้ทันต่อธุรกิจที่เกิดใหม่ และคนจำนวนมากหันมาประกอบอาชีพเสริมหรืออาชีพอิสระเพิ่มขึ้น

ดังนั้น การยกระดับและเรียนรู้ทักษะใหม่ จึงเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงแรงงาน ที่ต้องนำแรงงานที่มีทักษะกลับเข้าสู่ระบบการจ้างงาน และสร้างแรงงานนอกระบบที่เข้มแข็งขึ้นมา เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและยั่งยืน จึงได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดโครงการมหกรรม รวมพลัง สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้  ขึ้น เพื่อให้แรงงานไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพ ตามความถนัดและตรงกับความต้องการของตนเองได้

สมาคมผู้ผลิตทุเรียนไทย อบรมการตัดแต่งผลทุเรียนรุ่นแรกให้เกษตรกรตะวันออก สร้างมาตรฐานทุเรียนดีสู้เวียดนาม

สมาคมผู้ผลิตทุเรียนไทย อบรมการตัดแต่งผลทุเรียนรุ่นแรกภาคตะวันออกให้แก่ชาวสวนทุเรียนในจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ​รองรับผลผลิตที่กำลังจะออกสู่ตลาด ชี้เฉพาะระยองที่เดียวจะมีผลผลิตทั้งปีมากถึง 1.5 แสนตัน วอนเกษตรกรไม่ตัดทุเรียนอ่อน หลังเวียดนามไล่บี้ตลาดไทยในจีน

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2566 สมาคมผู้ผลิตทุเรียนไทย ได้จัดกิจกรรมอบรมตัดแต่งผลทุเรียนรุ่นแรกของภาคตะวันออกให้แก่เกษตรกรชาวสวนทุเรียนในจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด จำนวน 200 ราย เพื่อพัฒนาคุณภาพและสร้างมาตรฐานและความน่าเชื่อถือให้ทุเรียนภาคตะวันออก ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนมีความตระหนักผลิตทุเรียนที่มีคุณภาพ

โดยมี นายโอภาส กว้างมาก รักษาราชการเกษตรจังหวัดระยอง เป็นประธานเปิดกิจกรรมอบรม นายพิทวัฒน์ อ่อนทองหลาง ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 6 นายบัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง และนายวสันต์ รื่นรมย์ นายกสมาคมผู้ผลิตทุเรียนไทย นำสมาชิกสมาคมเข้าร่วม ที่สวนแปลงปลูกทุเรียนต้นคู่เจ๊จุ๋ม บ้านเนินหย่อง หมู่ 8 ตำบลวังหว้า อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

ภายในกิจกรรมมีทั้งการบรรยายความรู้เรื่อง สรีระวิทยาของทุเรียนระยะต่าง ๆ การตัดแต่งผลทุเรียน การบำรุงรักษาผลทุเรียนให้ได้คุณภาพ แนวทางการส่งออกทุเรียน นิทรรศการองค์ความรู้ด้านการผลิตทุเรียน พร้อมทั้งกิจกรรมการสาธิตการตัดแต่งผลทุเรียน

‘อินโนบิก’ ผนึก ‘ฮาตาริ เน็กซ์’ จำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์แบบใช้ในบ้าน รองรับเทรนด์ดูแลสุขภาพง่ายๆ ด้วยตนเอง

อินโนบิก ร่วมมือกับ ฮาตาริ เน็กซ์ มุ่งนำร่องพัฒนาและจัดจำหน่าย อุปกรณ์ทางการแพทย์ แบบใช้ภายในบ้าน เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเอง

บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จํากัด และ บริษัท ฮาตาริ เน็กซ์ จํากัด ร่วมเดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์แบบใช้ภายในบ้าน (Home-Use Medical Device) สะดวกพกพา ง่ายต่อการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองและคนในครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น อาทิ การร่วมกันพัฒนาอุปกรณ์เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดโดยไม่ต้องเจาะเลือด (Non-Invasive Blood Glucose Monitor) ที่เหมาะสมกับคนไทย โดยวางแผนพร้อมจําหน่ายภายในปี 2566 นอกจากนี้ ยังร่วมมือกันในการจัดจําหน่ายอุปกรณ์เครื่องคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพาแบรนด์ CMATE และเครื่องวัดความดันโลหิตแบบพกพา โดย อินโนบิก จะเป็นผู้แทนในการจัดจําหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์ ร้านขายยา และโรงพยาบาล

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เปิดเผยว่า “อุปกรณ์ทางการแพทย์แบบใช้ภายในบ้านถือเป็นแนวโน้มใหม่ของการป้องกันและตรวจวินิจฉัยสุขภาพเบื้องต้น โดยคาดการณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ในปี 2571 จะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอโดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ควบคู่กับเทคโนโลยีทางวิศวกรรมและการวิเคราะห์ข้อมูล (data analytic) ประกอบกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และความใส่ใจด้านสุขภาพของไทย ทำให้มีความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย สะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ในการพัฒนาเทคโนโลยีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของฮาตาริ ผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม ความรู้ ประสบการณ์ด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพของ

อินโนบิก จึงเกิดความร่วมมือในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ แบบใช้ภายในบ้าน ที่มีระบบวิเคราะห์และประมวลผลที่แม่นยําและเข้าใจง่ายในครั้งนี้ โดยผู้ใช้สามารถตรวจประเมินสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วยตนเองและสามารถนําข้อมูลไปปรึกษาแพทย์ได้ ตอกย้ำความมุ่งมั่น ของ อินโนบิก (เอเซีย) ที่ดำเนินธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และลดการพึ่งพาการนําเข้า เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ

คุณวิชัย วนวิทย์ ประธานบริษัท ฮาตาริ เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำร่องด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอุปกรณ์เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดโดยไม่ต้องเจาะเลือด ที่สามารถวิเคราะห์และประมวลผลลักษณะทางกายภาพของคนไทยได้อย่างแม่นยำ ตอบโจทย์การรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศ ที่ในปัจจุบันมียอดสะสมสูงถึง 4.8 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนิดที่ยังไม่ต้องฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หรือที่เรียกว่า Pre-Diabetes คือมีช่วงค่าระดับน้ำตาลในเลือดก่อนทานอาหารอยู่ในช่วง 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะมีแนวโน้มสูงขึ้น ถึงกว่าหลายสิบล้านคนและเพิ่มขึ้นกว่า 500,000 คนในแต่ละปี ความร่วมมือกันระหว่างบริษัท ฮาตาริ เน็กซ์ และ บริษัท อินโนบิก จะพัฒนาอุปกรณ์ดังกล่าวที่สามารถคำนวณค่าระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างแม่นยำ ผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (AI) โดยจะมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา สะดวกต่อการพกพา ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ สามารถเข้าถึงการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ง่ายยิ่งขึ้น สามารถดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทยต่อไป”

สระแก้วเริ่มแล้ว!! เทศกาลฤดูหนาว อำเภอวังน้ำเย็น “WANGNAMYEN IN LOVE 2023” เตรียมพร้อมนับถอยหลังเคาท์ดาวน์รับปีใหม่ 2566 สุดอลังการ

เมื่อค่ำวันที่ 27 ธ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ทางสมาคมผู้สูงอายุวังน้ำเย็น ร่วมกับเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น โดยนายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น ได้ร่วมกันจัดงานเทศกาลฤดูหนาวอำเภอวังน้ำเย็น “WANGNAMYEN IN LOVE 2023” เริ่มตั้งแต่ 27-31 ธันวาคม 2565 โดยกิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น.ทุกวัน

ซึ่งก่อนเริ่มงานทางกองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น ได้ทำกิจกรรมซื้อ-ขายเสื้อ WANGNAMYEN IN LOVE 2023 โดยรายได้ทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่าย มอบให้สมาคมผู้สูงอายุวังน้ำเย็น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ด้วย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า งานเทศกาลฤดูหนาวอำเภอวังน้ำเย็น “WANGNAMYEN IN LOVE 2023″วันแรก มีนายกิจจา เสาวรส นายอำเภอวังน้ำเย็น เดินทางมาเป็นประธานและมอบใบประกาศนียบัตรให้กับการแสดงชุด แฟนตาซี สุขสันต์วันละคร ของนักเรียนชั้น อนุบาล 1 และ 2 ชุด แฟนตาซี หนูน้อยเริงร่า จากโรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น โดยที่เวทีกลาง ลานด้านหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ มีการแสดงดนตรีสดจากนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิควังน้ำเย็น พร้อมทั้งมีการประกวดร้องเพลงรอบคัดเลือกที่เวทีสวนสาธารณะ ซึ่งบริเวณโดยรอบจะมีถนนคนเดิน สำหรับจำหน่ายสินค้า อาหารและเครื่องดื่มด้วย

เริ่มตึงตัว!! 'วิชัย' เผย ราคาอสังหาฯ พื้นที่ EEC ลดฮวบ! หลังโควิดระบาด ทำ ปชช. มีกำลังซื้อน้อยลง

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากจำนวนหน่วยเสนอขายทั้งหมดในพื้นที่ EEC พบว่าที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดส่วนใหญ่เปิดขายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ขณะที่ระยองและฉะเชิงเทรา เน้นการเปิดขายโครงการใหม่ประเภทบ้านจัดสรรเป็นหลัก

ทั้งนี้มีประเด็นที่น่าจับตาคือ ที่อยู่อาศัยที่เสนอขายทั้งหมดในตลาดเริ่มลดลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2564 และการเปิดตัวใหม่ในไตรมาส 3 ถือว่าต่ำที่สุด ทั้งก่อนและระหว่างเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า การเปิดตัวโครงการใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่โซนอุตสาหกรรม ขณะที่อัตราการดูดซับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายได้เพิ่มขึ้นของโครงการแนวราบ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์

จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายในพื้นที่ 3 จังหวัด ณ ช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่ามีจำนวน 54,116 หน่วย ลดลง -9.11% มูลค่ารวม 184,985 บาท ลดลง -9.94% ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นประเภทอาคารชุด 17,998 หน่วย มูลค่า 77,667 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -10.16% มูลค่าลดลง -13.45% เป็นประเภทบ้านจัดสรร 36,118 หน่วย มูลค่า 107,318 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง – 8.57% มูลค่าลดลง  -8.50%

สภาอุตสาหกรรมฯ และผู้ประกอบการ 17 บริษัท ศึกษาดูงานต้นแบบการจัดทรัพยากรน้ำ เพื่ออุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

(22 ธ.ค.65) คุณปิยะ พิริยะโภคานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สายงานสมาชิกสัมพันธ์ (สช.) หน่วยงานจับคู่ธุรกิจ สายงานสมาชิกสัมพันธ์ นำคณะสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการเข้าศึกษาดูงาน บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM.) ณ สถานีผลิตน้ำประปามรกตสยาม ตำบลมาบโป่ง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี สถานีผลิตน้ำประปาด้วยพลังงานทางเลือก และต้นแบบการบริหารจัดการน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับภาคอุตสาหกรรม

โดยมี คุณธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการผู้จัดการ บจก. อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ (IWRM.) ให้การต้อนรับ และนำคณะเยี่ยมชมบ่อน้ำดิบและสถานีผลิตน้ำประปา เพื่ออุตสาหกรรม จากต้นทางน้ำในบ่อดินลูกรัง เพื่อส่งต่อน้ำสู่ผู้ใช้น้ำ ในนิคมอุตสาหกรรม ต่าง ๆ ทั้งใน จ.ชลบุรี และจ.ฉะเชิงเทรา กว่า18 ปี ที่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นคง มั่นใจในคุณภาพน้ำตลอด24ชม. ทั้ง 365 วัน สู่ขบวนการผลิต ทุก ๆ นิคมฯที่รับน้ำจาก บ. IWRM.

พร้อมด้วยคุณจิรบูลย์ วิทยสิงห์ กรรมการสภาอุตสาหกรรมฯสายงาน สช. ร่วมบรรยายและสาธิตเทคโนโลยีการกรองน้ำด้วย Ceramic Membrane จากประเทศเยอรมัน โดยคณะฯ เยี่ยมชมระบบโครงข่ายชลประทานทางท่อ อ่างกักเก็บน้ำ บ่อลูกรังของบริษัท IWRM. ความจุรวมมากกว่า 30 ล้าน ลบ.ม.

‘ศักดิ์สยาม’ ตั้งเป้า 3 ปี ไทยเป็นฮับในอาเซียน ถ่ายทอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง

เมื่อไม่นานมานี้ (15 ธ.ค. 65) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ‘ผนึกกำลังพันธมิตรพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาค’ ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส โดยการสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ไม่มีกำหนดกรอบระยะเวลา เป็นการต่อยอดความร่วมมือการผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพบุคลากร เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างสถาบันวิจัยฯ และกลุ่มอุตสาหกรรมระบบรางจากประเทศฝรั่งเศส 5 บริษัท โดยเป็นบริษัทที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ความร่วมมือนี้จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันที่เป็นรูปธรรมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่

1.การสร้างสถาบันพัฒนาบุคลากรระบบราง ที่เป็นกลไกการพัฒนาบุคลากรระบบราง ทั้งระดับช่างเทคนิคทักษะสูง และระดับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยร่วมกับสถาบันและหน่วยงานเครือข่าย เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง

2.การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนฝรั่งเศส และภาคเอกชนไทย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางภายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Thai First ของกระทรวงคมนาคม โดยไม่เพียงแค่ผลิตได้ แต่คาดหวังให้เกิดผู้ประกอบการไทยที่มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

และ 3.การวิจัยและพัฒนาร่วมกัน และถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบรางชั้นแนวหน้าระหว่างกลุ่มธุรกิจระบบรางชั้นนำของฝรั่งเศส และเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย เพื่อส่งเสริม และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การถ่ายทอด และการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภูมิภาคอาเซียนภายใน 2-3 ปีหลังจากนี้

คลังเปิดผลลงทะเบียน 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' รอบใหม่

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการประกาศผล “สถานะการลงทะเบียน” ของโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นข้อมูลของผู้ที่ลงทะเบียนและมีการแก้ไขข้อมูลในระหว่างวันที่ 5 กันยายน – 17 พฤศจิกายน 2565

โดยมีผู้ลงทะเบียนที่มีสถานะแสดงข้อความว่า “กระทรวงการคลังได้รับข้อมูลการลงทะเบียนของท่านครบถ้วนแล้ว” จำนวนทั้งสิ้น 21,016,770 ราย ผู้ลงทะเบียนที่มีสถานะแสดงข้อความว่า “สถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์” เนื่องจากข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไม่ตรงตามฐานข้อมูลของกรมการปกครอง จำนวนทั้งสิ้น 1,386,423 ราย (คิดเป็นร้อยละ 6.60 ของผู้ลงทะเบียนที่มีข้อมูลครบถ้วนแล้ว)

ทั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ลงทะเบียนกลุ่มดังกล่าว ที่มีการยื่นเอกสารครบถ้วนแต่ยังคงมีสถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์ รวมถึงเพื่อให้มีการตรวจสอบความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบันของข้อมูลให้ได้มากที่สุด คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และสังคมในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในโครงการฯ

จึงให้มีการตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียนที่มีสถานะการลงทะเบียนไม่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง โดยผู้ลงทะเบียนกลุ่มดังกล่าวสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนได้อีกครั้งในวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่หน่วยงานรับลงทะเบียนทั่วประเทศหรือตรวจสอบได้ด้วยตัวเองผ่านเว็บไซต์กระทรวงการคลัง

รัฐบาล อวดภาพรวม นโยบายแก้หนี้ครัวเรือน ยัน เดินหน้าต่อ เพื่อ ศก.ภาพรวม

เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินการ “ปี 2565 ปีแห่งการแก้หนี้” ภายใต้นโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ทุกส่วนราชการ สถาบันการเงินภาครัฐและเอกชน ร่วมแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ได้อย่างจริงจังนั้น ทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดพบว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 2 ปี 2565 เหลือ 88.2%  ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ 89.1% และไตรมาส 4 ปี 2564 ที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงถึง 90% โดยหนี้ครัวเรือน 4 อันดับแรกยังคงเป็น 1.) เงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 34.6 ของหนี้ครัวเรือนรวม 2.) เงินกู้เพื่อการบริโภคอุปโภคส่วนบุคคลสัดส่วนร้อยละ 28.0 ของหนี้ครัวเรือนรวม 3.) เงินกู้เพื่อการประกอบธุรกิจ สัดส่วนร้อยละ 18.2 ของหนี้ครัวเรือนรวม และ 4.) เงินกู้เพื่อซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์/ รถจักรยานยนต์ สัดส่วนร้อยละ 12.3 ของหนี้ครัวเรือนรวม

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านมาตรการต่าง ๆ ได้แก่

1.) การแก้ปัญหาหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยปฏิรูปรูปแบบการชำระหนี้ อาทิ การปรับปรุงรูปแบบการจ่ายชำระหนี้คืน จากรายปีเป็นรายเดือน ชำระคืนค่างวดแบบเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระจาก 15 ปี เป็น 25 ปี  ปรับปรุงลำดับการตัดชำระหนี้ โดยนำไปตัดเงินต้นก่อน แล้วจึงตัดดอกเบี้ย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เหลือร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้น

2.) การแก้ปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่น การประกาศกรอบอัตราค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ ที่ช่วยคุ้มครองลูกหนี้ไม่ให้ถูกเรียกเก็บเงินในการทวงถามหนี้เกินความจำเป็น

3.) การแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการครู ยุบยอดหนี้โดยใช้ทรัพย์สินและรายได้ของครูในอนาคต เพื่อให้ยอดหนี้ลดลงและสามารถชำระคืนได้จากเงินเดือน การปรับดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ 5

4.) หนี้สินข้าราชการตำรวจ การขอความร่วมมือสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจเช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 พักชำระหนี้เงินต้น ปรับลดอัตราการถือหุ้นรายเดือน จัดทำโครงการปล่อยเงินกู้ระยะสั้นดอกเบี้ยต่ำ และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

5.) การปรับลดและทบทวนโครงสร้างและเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม และการออกมาตรการคุ้มครองสิทธิ์ของลูกหนี้ กระทรวงการคลังปรับลดเพดานเงินกู้สินเชื่อ PICO Finance เหลือร้อยละ 33 จากร้อยละ 36 ธปท. สนับสนุนการรีไฟแนนซ์และการรวมหนี้

และ 6.) การปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม มีการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางธุรกิจและการเงิน เน้นไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบออนไลน์ โดยประชาชนสามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองหรือผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์

ก้าวต่อไม่หยุดยั้ง NRPT เดินหน้าสร้างโรงงานผลิต Plant based กำลังผลิต 3,000 ตันต่อปี ใหญ่สุดในเอเชียแปซิฟิก

NRPT เดินหน้าสร้างโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจร Plant & Bean (Thailand) ใหญ่สุดในเอเชียแปซิฟิก

Nuovo Plus - Gotion ร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตชุดแบตเตอรี่ ดันไทยสู่ผู้นำด้านแบตเตอรี่ของอาเซียน

เมื่อวานนี้ (15 ธันวาคม 2565) บริษัท นูออโว พลัส จำกัด (Nuovo Plus) บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) บรรลุข้อตกลงร่วมกับ Gotion Singapore Pte. Ltd. (Gotion) บริษัทในกลุ่มของ Gotion High-tech Co., Ltd. จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท เอ็นวี โกชั่น จำกัด (NV Gotion) ด้วยทุนจดทะเบียนไม่เกิน 600 ล้านบาท ในสัดส่วนการลงทุน 51% และ 49% ตามลำดับ เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้า ประกอบ และจัดจำหน่ายโมดูลแบตเตอรี่และชุดแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูงสู่ตลาดภายในปี 2566 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี และขยายกำลังการผลิตเป็น 2 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ภายในปี 2568

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด เปิดเผยว่า การผลิตแบตเตอรี่เพื่อระบบกักเก็บพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า การร่วมทุนจัดตั้ง NV Gotion ครั้งนี้ เป็นไปตามทิศทางกลยุทธ์การลงทุนธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตของกลุ่ม ปตท. เพื่อเร่งสร้าง Energy Storage and EV Value Chain ให้ครอบคลุมในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การผสานความเชี่ยวชาญจาก Nuovo Plus และ Gotion ทั้งในด้านของการวิจัยพัฒนา ศักยภาพการผลิตแบบแข่งขันได้ การบริการด้านเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีโดยตรง และการให้บริการแบบครบวงจรในประเทศไทย จะทำให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลสู่ลูกค้าอุตสาหกรรมในไทยและอาเซียน โดย NV Gotion จะเริ่มก่อสร้างโรงงานประกอบชุดแบตเตอรี่ขนาด 2 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะสามารถผลิตและส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูงแก่ตลาดได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2566 นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และผลักดันเป้าหมาย Net Zero ของประเทศจากทุกภาคส่วนร่วมกัน

ฉะเชิงเทรา-ราชภัฏฉะเชิงเทรา ทำพิธีลงนาม MOU ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย 'โครงการการพัฒนาตัวแบบเชิงธุรกิจปูทะเล' อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

เวลา 09.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม 2565 ที่ห้องโชคอนันต์ อาคารเรียนรวมและอำนวยการ มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ ได้จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ กับภาคีเครือข่าย 'โครงการการพัฒนาตัวแบบเชิงธุรกิจปูทะเล' อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนรองรับการเปลี่ยนแปลงและวิกฤติด้านเศรษฐกิจ โดยมีนายณัฐพงษ์ สงวนจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีลงนาม ร่วมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร. ดวงพร ภู่ผะกา รักษาราชการอธิการบดี ม.ราชภัฏราชนครินทร์ /ภาคีเครือข่ายโครงการ /ผู้บริหาร หัวหน้าส่วน และสื่อมวลชน เข้าร่วมในพิธี

สำหรับพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ กับ ภาคีเครือข่าย 'โครงการการพัฒนาตัวแบบเชิงธุรกิจปูทะเล' อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนรองรับการเปลี่ยนแปลงและวิกฤติด้านเศรษฐกิจในวันนี้เกิดขึ้น เนื่องจากมหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ ได้รับทุนการดำเนินโครงการวิจัย จากสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ ภายใต้แผนงานการพัฒนาพื้นที่ด้วยองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัย โปรแกรมที่ 17 การแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ แพลตฟอร์ม 4 การวิจัยและสร้างนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ

ปตท. แข็งแกร่งระดับสากล ติดอันดับดัชนีความยั่งยืน DJSI 11 ปีต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าธุรกิจสู่พลังแห่งอนาคต

ปตท. ติดอันดับดัชนีความยั่งยืน DJSI ถึง 11 ปีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าดำเนินงานตามแผนธุรกิจมุ่งสู่พลังแห่งอนาคต

วันนี้ (12 ธันวาคม 2565) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI กลุ่มดัชนีโลก (World Index) รวมถึงดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 และยังเป็นองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรมในกลุ่ม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) อีกด้วย สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ ปตท. ผ่านการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทของโลกที่แปรเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและนิเวศบริการในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเติบโตในกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด และธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นพันธกิจหลักของ ปตท. 

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างหนักของ COVID-19 ที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ได้จัดตั้ง “โครงการลมหายใจเดียวกัน” เพื่อดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร ในขณะเดียวกัน ปตท. ยังคงยึดมั่นการกำกับดูแลกิจการที่ดีและมีธรรมาภิบาล รวมทั้งคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ความยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond”

ปตท. - Envision ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มจัดการพลังงานอัจฉริยะ ผลักดันสังคมไทยปลอดก๊าซเรือนกระจก

กลุ่ม ปตท. ร่วมกับ Envision พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ มุ่งผลักดันเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

เมื่อวานนี้ (9 ธันวาคม 2565) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ ENVISION DIGITAL INTERNATIONAL PTE. LTD. บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อลดคาร์บอน ภายใต้กลุ่มบริษัท Envision ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) Collaboration in Future Energy Transition by Decarbonization Platform ศึกษาและทดลองการใช้งานแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ภายในพื้นที่ของกลุ่ม ปตท. เพื่อบริหารและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี2050 โดยมี ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน คุณเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ Mr. Ko Kheng Hwa ประธานกรรมการ Envision Digital ร่วมในพิธีลงนาม

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะเพื่อตรวจสอบและควบคุมการใช้พลังงาน รวมถึงประเมินความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ทดลองของโครงการ โดยได้ริเริ่มนำแพลตฟอร์ม EnOSTM ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ AloT ของ Envision Digital มาใช้ในการบริหารจัดการระบบพลังงานหมุนเวียนภายในอาคารต้นแบบ M4 ที่สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จ.ระยอง ได้แก่ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ลอยน้ำ แผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา ระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้าภายในวิทยาเขตของสถาบันฯ โดยสามารถตรวจสอบและควบคุมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และนำมาปรับใช้งานทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้อาคารดังกล่าวเป็นอาคาร Zero Import ทั้งหมด ซึ่งในอนาคต หากประสบความสำเร็จก็จะขยายผลไปยังพื้นที่อื่นต่อไป


© Copyright 2022, All rights reserved. Eec Time Thailand
Take Me Top