กรมทะเลชายฝั่ง จ.ตราด เร่งจัดการคราบน้ำมันรั่วไหล จากเหตุเพลิงไหม้ "เรือสปีดโบ๊ต"

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับ ชมรมอนุรักษ์ปะการังเกาะหมาก เร่งสกัดและจัดการคราบน้ำมันที่รั่วไหล จากเหตุเพลิงไหม้เรือสปีดโบ๊ต บริเวณอ่าวทองหลาง จังหวัดตราด

วันที่ 10 มกราคม 2566 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) กล่าวว่า วานนี้ตนได้รับแจ้งจากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) ถึงเหตุน้ำมันรั่วไหลจากเหตุเพลิงไหม้เรือท่องเที่ยวสปีดโบ๊ต บริเวณอ่าวทองหลาง ตำบลเกาะหมาก อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่าจุดเกิดเหตุเป็นบริเวณท่าจอดเรือ อ่าวทองหลาง สภาพน้ำทะเลมีฟิล์มน้ำมันลอยบนผิวน้ำ มีหลุดรอดจากทุ่นกักน้ำมันบริเวณแนวเขื่อนเล็กน้อย และไม่พบสัตว์น้ำตาย จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ตรวจวัดคุณภาพน้ำเบื้องต้น พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างน้ำทะเล จำนวน 3 สถานี (KM1-3) โดยผลคุณภาพน้ำทั่วไปอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานฯ มีค่าความเป็นกรด-ด่าง 7.92-8.03 อุณหภูมิ 26.7-26.9 องศาเซลเซียส ความเค็ม 31.2-31.3 ส่วนในพันส่วน และปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ 5.56-6.98 มิลลิกรัมต่อลิตร

นอกจากนั้น ได้สำรวจแนวปะการังใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ เบื้องต้นพบว่าแนวปะการังมีสภาพปกติ ไม่พบคราบน้ำมันและตะกอนน้ำมันบนผิวโคโลนีปะการังและในมวลน้ำทะเล และจากการสัมภาษณ์ คุณธานินทร์ สุทธิธนกุล รองประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกาะหมาก ทราบว่าหลังเหตุการณ์เพลิงไหม้ ทางอบต.เกาะหมาก และชมรมอนุรักษ์ปะการังเกาะหมาก ได้ร่วมกันประดิษฐ์ทุ่นกักน้ำมันไปวางติดตั้งป้องกันบริเวณปากอ่าวเพื่อไม่ให้น้ำมันรั่วไหลออกสู่ทะเลอีกด้วย

เนื่องจากบริเวณดังกล่าว มีการเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนปะการังเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ตนจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และเร่งหาวิธีที่จะป้องกันน้ำมันที่รั่วไหลให้ไหลลงสู่ทะเลน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อทรัพยากรทางทะเล ทั้งนี้ กรม ทช. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก อบต.เกาะหมาก และชมรมอนุรักษ์ปะการัง เร่งหาวิธีจัดการคราบน้ำมันโดยด่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อแนวปะการังที่กำลังเพาะพันธุ์ในบริเวณนั้น

อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ช่วยกันสอดส่องดูแล โดยหากพบเหตุอุบัติเหตุทางทะเล หรือการกระทำความผิด สามารถแจ้งมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร.1362 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่เร่งเข้าตรวจสอบ และช่วยเหลือได้ทันท่วงทีต่อไป

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/local/2599108