Saturday, 11 May 2024
NEWSFEED

เริ่มแล้ว!! “สกายวอล์คเขาฉกรรจ์” ทีมสำรวจลงพื้นที่ เปิดภาพ 3D เรือสำเภาขนาดใหญ่ ตั้งเด่นระหว่างเขา 2 ลูก เสนออธิบดีอนุมัติในหลักการ

เปิดภาพ 3D SKY WALK เขาฉกรรจ์ อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว โดยทีมสำรวจลงพื้นที่เก็บข้อมูลศึกษา เพื่อทำเรื่องเสนอให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์ุพืช พิจารณาอนุมัติในหลักการ ก่อนจะมาเริ่มสำรวจอย่างจริงจังและขออนุมัติก่อสร้างอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ ความยาว 63 เมตร กว้าง 12 เมตร มีเสากระโดงเรือ อยู่หัวและท้ายเรือ ตั้งเด่นสวยงาม อยู่ระหว่างเขาฉกรรจ์ลูกที่ 2 และ ลูกที่ 3 ขณะนี้สภาเทศบาลได้คุยกันนอกรอบกับทีมผู้บริหาร ยินดีสนับสนุนโครงการนี้ คาดว่า จะใช้งบประมาณก่อสร้าง 70 ล้านบาท หากได้รับการอนุมัติ การก่อสร้างตั้งแต่เริ่มต้นจนจบโครงการ น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสวนรุกชาติเขาฉกรรจ์ ตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว นายชริน เซ่งลอยเลื่อน หัวหน้าสวนรุกขชาติเขาฉกรรจ์ พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.โจทย์ แดงจันทร์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขาฉกรรจ์ ผู้บริหารเทศบาลและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลเขาฉกรรจ์ ได้นำคณะทีมเจ้าหน้าที่สำรวจการก่อสร้างจุดชมวิวเรือนยอดไม้หรือ “สกายวอล์คเขาฉกรรจ์” ตามที่ทีมงานบริหารและสมาชิกเทศบาลตำบลเขาฉกรรจ์ ได้ให้สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงที่ผ่านมา โดยโครงการก่อสร้างดังกล่าว จะอยู่ระหว่างกึ่งกลางของเขาฉกรรจ์ทั้ง 2 ลูก เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของอำเภอเขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว

ซึ่งคณะทีมสำรวจได้เดินจากบริเวณลานริมถนนรอบเขาฝั่งตะวันออก ตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพื่อไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างภูเขาหินปูนทั้ง 2 ลูก ระยะทางประมาณ 100-200 เมตร พร้อมกับตอกหลัก ดึงเชือก เพื่อวัดขนาดพื้นที่ วางผังจุดที่จะก่อสร้างเสาฐานรากของสกายวอล์ค อย่างน้อย 2 จุด เพื่อคำนวณความสูง ความกว้าง และความลึกของจุดที่จะทำการขุดเจาะฐานราก และพื้นที่ใช้สอยโดยรอบที่จะใช้ในการก่อสร้าง รวมทั้งพิจารณาเส้นทางความเป็นไปได้ ที่จะใช้ในการนำเครื่องจักรขึ้นไปก่อสร้างโครงการดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังทีมสำรวจ ”สกายวอล์คเขาฉกรรจ์” ได้นำภาพถ่ายมุมสูงและจุดที่จะก่อสร้างโครงการ มาทำภาพ 3D SKY WALK เขาฉกรรจ์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ ขนาดความยาว 63 เมตร กว้าง 12 เมตร มีเสากระโดงเรือ อยู่หัวและท้ายเรือ ตั้งเด่นสวยงาม อยู่ระหว่างเขาฉกรรจ์ลูกที่ 2 และ ลูกที่ 3 ซึ่งเป็นการออกแบบโดยช่างที่มีประสบการณ์ เพื่อใช้ประกอบในการเสนอโครงการก่อสร้างจุดชมวิวเรือนยอดไม้ หรือสกายวอล์คเขาฉกรรจ์ จากภาพการเดินสำรวจพื้นที่ ซึ่งมีทั้งสมาชิกเทศบาลเขาฉกรรจ์ ,หัวหน้าสวนรุกขชาติ เจ้าของพื้นที่ ช่างออกแบบที่เคยออกแบบที่อื่นมาแล้ว และนายช่างเทศบาลฯ ร่วมกันพิจารณารูปแบบเบื้องต้น และเร่งเดินหน้าเก็บข้อมูลอย่างรอบด้าน

นายชริน เซ่งลอยเลื่อน หัวหน้าสวนรุกขชาติเขาฉกรรจ์ กล่าวว่า "วันนี้เป็นการเก็บข้อมูลศึกษาเบื้องต้น เพื่อทำเรื่องขออนุมัติในหลักการกับท่านอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์พืชว่า จะก่อสร้างได้หรือไม่ เป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งวันนี้ตนได้รับการขอความร่วมมือจากทางทีมงานเทศบาลและนายกเทศมนตรีตำบลเขาฉกรรจ์ ในการขอเข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อประมวลเรื่องให้อธิบดีพิจารณาในหลักการก่อน พอถ้าได้รับการพิจารณาในหลักการแล้ว เราก็จะมาเริ่มสำรวจทำอย่างจริงจัง และขออนุมัติก่อสร้างอีกครั้งหนึ่ง โดยตอนนั้นจะมีการศึกษาสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ มีกรรมการจากกรมฯ จากส่วนกลางเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย พอศึกษาเสร็จ ทำ ปร.4, ปร.5 ก็จะทำเรื่องอนุญาตก่อสร้าง

ดังนั้น วันนี้จะเป็นการศึกษาเพื่อเก็บข้อมูลนำเสนอเบื้องต้น ขออนุมัติในหลักการกับอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งสวนรุกขชาติเขาฉกรรจ์ มีภารกิจคือรวบรวมพันธุ์ไม้หายาก พันธุ์ไม้ท้องถิ่น จากนั้นก็เอาพันธุ์ไม้ไปถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับประชาชน การทำสกายวอล์คถือว่า เป็นการศึกษาเรือนยอดไม้อีกวิธีการหนึ่งและเป็นการบริหารจัดการร่วมกันระหว่าง เทศบาลตำบลเขาฉกรรจ์ ในการดึงให้ชุมชนโดยเฉพาะชุมชนรอบเขาฉกรรจ์มีรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชน โรงแรม ร้านอาหาร และข้อดี คือเรามีผู้หลักผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษา สนับสนุนผลักดันที่จะให้มีแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของ จ.สระแก้ว ให้ได้"

หัวหน้าสวนรุกขชาติเขาฉกรรจ์ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นทางเทศบาลและตนเองได้เดินทางไปพูดคุยเรื่องนี้กับอธิบดีและผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบดูแลสวนรุกขชาติไว้แล้ว ซึ่งการดำเนินการในพื้นที่สวนรุกชาติสามารถดำเนินการได้ง่ายพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเท่าที่ได้พูดคุยกับประชาชนและชาวบ้านรอบเขาฉกรรจ์ บอกว่า ถ้าเราพัฒนาเขาฉกรรจ์ให้เจริญ ต้องพัฒนาสวนรุกขชาติให้เจริญ รายได้เกิด ชุมชนรอบเขาได้ประโยชน์มหาศาล การพัฒนาครั้งเดียวแต่รายได้ภาพรวมเยอะมาก แม้แต่ร้านอาหาร ที่พัก หรือรีสอร์ต

แก้ปัญหานักเลงเสื้อช็อป ผู้ว่าแปดริ้วเรียกทุกสถาบันอาชีวะ ทำ MOU

ผู้ว่าแปดริ้ว แก้ปัญหานักเลงเสื้อช็อป เรียกทุกสถาบันอาชีวะในพื้นที่เสี่ยง พร้อมโรงเรียนเกิดปัญหาบ่อยรวม 27 องค์กรภาครัฐร่วมลงนามทำ MOU บันทึกความเข้าใจ เพื่อทำการแก้ไขปัญหาไปพร้อมกันทุกฝ่าย เผยเล็งใช้มาตรการเอาผิดไปจนถึงสถาบันการศึกษาตามขั้นตอนในอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ไปจนถึงขั้นปิดรูปแบบการเรียนการสอน

วันที่ 19 ม.ค.66 เวลา 10.30 น. ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เดินทางมาเป็นประธานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนและนักศึกษา ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่างสถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรวม 27 องค์กร ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ศึกษาธิการจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้ปัญชาการกองพลทหารราบที่ 11

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จ.ฉะเชิงเทรา ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ฉะเชิงเทรา ผกก. สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ผกก. สภ.บ้านโพธิ์ ผกก. สภ.บางปะกง ผกก. สภ.แสนภูตาษ นายแพทย์สาธารณสุข จ.ฉะเชิงเทรา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ฉะเชิงเทรา ผู้แทนนายกเทศมนตรีเมืองฉะเชิงเทรา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ฉะเชิงเทรา หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.ฉะเชิงเทรา ผอ.สำนักงานคุมประพฤติ จ.ฉะเชิงเทรา ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา

ประธานกรรมการอาชีวศึกษา จ.ฉะเชิงเทรา ผอ.วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา ผอ.วิทยาลัยเทคนิคจุฬาภรณ์ (ลาดขวาง) ผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษาฉะเชิงเทรา ผอ.วิทยาลัยการอาชีพบางปะกง ผอ.วิทยาลัยสารพัดช่างฉะเชิงเทรา ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีอาเซียนไทยบ้านโพธิ์ ผอ.โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ผอ.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 และผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ ฉะเชิงเทรา

โดยที่ นายสุริยา หมาดทิ้ง ศึกษาธิการ จ.ฉะเชิงเทรา ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ว่า จากสภาพเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคของวิถีชีวิตแนวใหม่ ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ส่งผลให้นักเรียนนักศึกษามีพฤติกรรมลอกเลียนแบบจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่ได้มีการลงภาพและคลิบรวมถึงข้อความที่เป็นการสื่อไปในทางท้าทาย ยั่วยุ ปลุกปั่นยุยงให้มีการก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน จึงยิ่งทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้น

โดยที่สถานการณ์ใน จ.ฉะเชิงเทรา นั้น พบว่านักเรียนนักศึกษามีปัญหาทะเลาะวิวาทกันระหว่างสถานบันการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสำนักงานศึกษาธิการ จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานศึกษา จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินงาน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้ลดน้อยลง และมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงเห็นควรให้มีการบูรณาการความร่วมมือกัน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้

อีอีซี เปิดความสำเร็จ รวมพลังเครือข่ายพลังสตรีกว่า 600 คน สร้างการรับรู้คนในพื้นที่ เฝ้าระวังดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมพัฒนาสินค้าวิสาหกิจชุมชน สร้างงาน เพิ่มรายได้ให้คนอีอีซีต่อเนื่อง

วันนี้ (19 ม.ค. 2566) นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เข้าร่วมมอบนโยบายการดำเนินงานของเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ปี 2566 ภายในงานประชุมเชิงปฏิบัติการสรุปผลโครงการเสริมสร้างเครือข่ายการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน และเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผัง อีอีซี (EEC Woman Power) โดยมีนายเกษมสันต์ จิณณวาโส ที่ปรึกษาพิเศษด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีอีซี เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วยนายธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชน อีอีซี เข้ามอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่เครือข่ายพลังสตรีอีอีซี จากพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด ที่เข้าร่วมงานฯ ณ โรงแรมบางแสน เฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี

โครงการ เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี นับเป็นโครงการสำคัญที่อีอีซี ได้ดำเนินการมาต่อเนื่องจนเข้าสู่ปีที่ 4 ในปี 2566 นี้ เพื่อให้กลุ่มพลังสตรีใน 3 จังหวัด (ระยอง, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา) ที่เข้าร่วมโครงการฯ กว่า 600 คน เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจนโยบายต่าง ๆ ของอีอีซี และร่วมเป็นเครือข่ายในการดูแลเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ที่ดินในอีอีซี ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินอีอีซี รวมถึงการยกระดับอาชีพ และผลิตภัณฑ์ชุมชนในพื้นที่ ซึ่งพลังสตรีได้มีส่วนร่วมในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่วิสาหกิจชุมชนให้ขายสินค้าท้องถิ่นได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมที่เด่น ๆ ของเครือข่ายพลังสตรีอีอีซี ซึ่งได้มีกลไกความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน เช่น กรณีการลักลอบประกอบกิจการโรงงานหลอมทองเหลืองในพื้นที่ สปก. จังหวัดฉะเชิงเทรา การลับลอบทิ้งขยะและกากอุตสาหกรรมในพื้นที่ส่วนบุคคล ในพื้นที่อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง

ซึ่งพลังสตรีอีอีซี ได้ร่วมสังเกตการณ์และเฝ้าระวังการกระทำผิดด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในช่วงสถานการณ์โควิด 19 และช่วงอุทกภัยในพื้นที่ที่ผ่านมา กลุ่มพลังสตรี ได้ร่วมกับอีอีซี ดำเนินกิจการที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น การจัดทำถุงยังชีพเพื่อเป็นกำลังใจให้ชุมชน เป็นต้น

จุดยืนประเทศไทย!! CGTN สื่อดังจีนถามเจาะนโยบายเปิดรับ นทท.ของไทย ด้าน 'อนุทิน' เปิดใจ!! ไทยไม่เลือกปฏิบัติ ทุกชาติเท่าเทียม

'อนุทิน' เนื้อหอม!! สื่อจีนขอสัมภาษณ์นโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวของไทย ระหว่างถก World Economic Forum เมืองดาวอส - คลอสเตอร์ สมาพันธรัฐสวิส

(19 ม.ค.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ร่วมเวทีการประชุมหัวข้อ 'The Pulling Power of ASEAN' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส-คลอสเตอร์ สมาพันธรัฐสวิส สื่อที่มีชื่อเสียงจากประเทศจีน จากสถานีโทรทัศน์ CGTN ได้ขอสัมภาษณ์พิเศษรองนายกรัฐมนตรีของไทย ถึงนโยบายการท่องเที่ยว สาธารณสุข และการรักษาความสมดุลระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกับการดูแลประชาชนและระบบสาธารณสุขจากโควิด-19

ไม่เลือกปฏิบัติ 'อนุทิน' ตอบคำถามโควิด บนเวที World Economic Forum ชี้!! ไทยไม่เลือกปฏิบัติรับ นทท. หลังมีแผนพร้อมรับมือโควิดรัดกุม

'อนุทิน' ขึ้นเวที World Economic Forum โชว์วิสัยทัศน์ ยกบทบาทอาเซียนพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของประชาคมโลก เผย ศักยภาพไทยบริหารโควิด19 หนุนประเทศเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกชาติแบบไม่เลือกปฏิบัติ

(18 ม.ค.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 66 ที่เมืองดาวอส-คลอสเตอร์ สมาพันธรัฐสวิส นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้นำคณะเข้าร่วมการประชุมในหัวข้อที่หลากหลายภายในการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) และได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ความสำเร็จทางนโยบายของประเทศไทย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โดยนายอนุทิน ได้รับเชิญให้ร่วมเวทีแสดงมุมมองรัฐบาลไทยในการประชุมหัวข้อ 'The Pulling Power of ASEAN' โดยมีผู้ร่วมเวทีจากทั้งภาครัฐและเอกชนภายในและนอกอาเซียน ได้แก่ นาง Merit Janow ประธานกรรมการอิสระ มาสเตอร์การ์ด, นาย Luhut B. Pandjaitan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานกิจการทางทะเลและการลงทุน อินโดนีเซีย และ นาง Teresita Sy-Coson รองประธานกรรมการ  SM Investment Corporation, ฟิลิปปินส์

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทินได้กล่าวท่ามกลางความสนใจของที่ประชุมต่อภูมิภาคอาเซียนว่า ทุกประเทศในภูมิภาคนี้มีจุดแข็งของตัวเองและมีจุดร่วมสำคัญความสามารถในการปรับตัว อาเซียนเคยเป็นและจะยังคงเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจ ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมีที่ตั้งอยู่ในเส้นทางยุทธศาสตร์ของจีน และนโยบายอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ แม้จะมีความตึงเครียดในภูมิภาคแต่ความสามารถในการปรับตัว และนโยบายที่ไม่แทรกแซงระหว่างกัน จะส่งผลดีต่อเสถียรภาพและประโยชน์ทางเศรษฐกิจของอาเซียน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรียังได้ชี้ให้ที่ประชุมเห็นถึงความร่วมมือที่แนบแน่นของอาเซียนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด19 จนเป็นภูมิภาคที่ฟื้นตัวจากโควิด19 ได้เร็ว และได้มีการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านสาธารณสุขฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่ (ACHPEED) ขึ้นที่ประเทศไทย ด้วยตระหนักว่าหากในภูมิภาครับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพได้ดีเท่าไร เศรษฐกิจก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้นเท่านั้น เพราะไทยและอีกหลายประเทศในอาเซียนคือ ฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก และขณะนี้อาเซียนกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้ BCG Model ตามที่ได้กล่าวไว้ที่ประชุม APEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนพ.ย. 65 ที่ผ่านมานั่นคือ ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งเสริมให้อาเซียนคงเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับประชาคมโลก

‘ไทย-อินเดีย’ กระชับความร่วมมือการวิจัย ยาและเวชภัณฑ์ รองนายกฯ อนุทิน หนุน 3 ประเด็นด้านสุขภาพเพิ่มจุดแข็ง 2 ประเทศ ชื่นชมอินเดียเป็นประธาน G20 ชูโลกหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกการพัฒนา

(18 ม.ค.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 66 ระหว่างเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส-คลอสเตอร์ สมาพันธรัฐสวิส นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ได้พบหารือกับ นายมานซุกร์ ลัคมาน มันดาวิยา (Mansukh Laxman Mandaviya) รมว.สวัสดิการสาธารณสุขและครอบครัว (Minister for Health and Family Welfare) และ รมว.เคมีภัณฑ์และปุ๋ย (Minister for Chemicals and Fertilizers) อินเดีย

นายอนุทิน และ นายมานซุกร์ ได้หารือถึงแนวทางที่ไทยและอินเดียจะกระชับความร่วมมือกันเพิ่มขึ้น ในประเด็นสาธารณสุข การวิจัย ยา และเวชภัณฑ์ จากปัจจุบันที่ 2 ประเทศมีความร่วมมือผ่านกรอบพหุภาคีและทวิภาคีต่างๆ ซึ่งเฉพาะความร่วมมือด้านสาธารณสุข ปัจจุบันไทยและอินเดียมีความร่วมมือผ่านบันทึกความร่วมมือ (MOU) 2 ฉบับ ได้แก่ MOU ระหว่างกรมการแพทย์และ Indian Council of Medical Research เพื่อร่วมกันการวิจัยทางสุขภาพและทางการแพทย์ และ MOU ระหว่างกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกับสถาบันอายุรเวทแห่งชาติ เมืองชัยปุระ ในการร่วมมือทางวิชาการสาขาการแพทย์อายุรเวทและการแพทย์แผนไทย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ระหว่างหารือนายอนุทินชื่นชมต่อประเด็นด้านสุขภาพ 3 ประเด็นที่รัฐบาลอินเดียกำลังให้ความสำคัญในขณะนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการขับเคลื่อนด้านสุขภาพที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และมีความยินดีหากทั้ง 2 ประเทศจะได้ร่วมมือกันทั้ง 3 ประเด็น ได้แก่...

คึกคัก! เมืองพัทยาเริ่มนำโคมไฟสีแดง ออกประดับตามถนนสายต่าง ๆ สร้างสีสันต้อนรับเทศกาลตรุษจีน 2023

ที่พัทยา เจ้าหน้าที่นำโคมไฟสีแดงออกประดับประดาตามถนนสายต่าง ๆ พร้อมตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม สร้างสีสันการท่องเที่ยวให้พื้นที่ โดยเฉพาะถนนสายชายหาด ที่มีความโดดเด่นทั้งกลางวันและค่ำคืน ดึงดูดชาวเน็ตแห่ถ่ายลงโชเซียล ขณะผู้ประกอบการย่านถนนวอล์กกิ้งสตรีท พากันตกแต่งหน้าร้านอย่างสวยงาม

เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวบรรยากาศการต้อนรับเทศกาลตรุษจีนประจำปี 2566 ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ว่า เริ่มมีความคึกคักมากขึ้น หลังเมืองพัทยาได้นำโคมไฟสีแดงออกติดตั้งและประดับประดาตามถนนสายต่าง ๆ รวมทั้งถนนเลียบชายหาดพัทยา แหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลก ที่มีการนำโคมแดงติดตั้งตลอดระยะทางยาว 40 เมตร ปลุกบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงค่ำคืนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนช่วงกลางวันทำให้ถนนสายนี้เกิดความงดงามไม่แพ้กัน

ไม่เพียงเท่านั้นภายในถนนคนเดินวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้ พบว่าสถานบันเทิงต่างๆ ได้พากันนำโคมสีแดงออกมาตกแต่งร้าน เพื่อสร้างบรรยากาศต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน ที่จะทยอยกลับเข้าพื้นที่หลังเทศกาลตรุษจีนเป็นต้นไป

จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดโครงการส่งมอบบ้าน 'บ้านห่วงใยจากใจ GLO' แก่ครัวเรือนยากจน (TPMAP)

วันที่ 17 มกราคม 2566 นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านตามโครงการ 'บ้านห่วงใยจากใจ GLO' แก่ครัวเรือนยากจน (TPMAP) ให้แก่ นายสมพงษ์ เหลืองรัตนชีวิน บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีนายวรนัฐ ติรประเสริฐสิน พัฒนาการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวรายงานที่มาและวัตถุประสงค์การดำเนินงาน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้นำท้องถิ่น ท้องที่อำเภอบางปะกง และประชาชนตำบลท่าข้าม ร่วมให้การต้อนรับ และร่วมเป็นเกียรติในพิธีส่งมอบบ้านแก่ครัวเรือนเป้าหมาย

สืบเนื่องจากรัฐบาล มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความยากจนของประชาชนในทุกมิติ (TPMAP) เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกช่วงวัย ตลอดจนการขจัดความยากจนตามเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืน และพบว่ามีประชาชนที่ประสบปัญหาสภาพบ้านพักอาศัยที่ไม่มั่นคงถาวร โครงสร้างบ้านไม่มีความแข็งแรง ฝาบ้านชำรุด หรือไม่ครบ 4 ด้าน และประตูหน้าต่างอยู่ในสภาพไม่คงทนกับการใช้งาน สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงได้ร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จัดทำโครงการ 'บ้านห่วงใยจากใจ GLO' ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในฐานะองค์กรแห่งการให้ เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในกลุ่มดังกล่าว

และจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1 หลัง ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา งบประมาณ 200,000 บาท โดยอำเภอบางปะกงร่วมกับสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอบางปะกง ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการบ้านห่วงใยจากใจ GLO ประจำปี 2565 ตามแนวทางที่กรมการพัฒนาชุมชนกำหนด

ปชช.รวมตัวยื่นฟ้องบริษัท SPRC ต้นเหตุทำน้ำมันรั่วกลางทะเลระยอง หลังจาก 1 ปี ไร้วี่แววความรับผิดชอบ

วันที่ 17 ม.ค. 2566 ที่ศาลากลางหมู่บ้าน หมู่ 10 บ้านป่าคั่น ตำบลตะพง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มประมงพื้นบ้าน ร้านอาหาร หาบเร่ แผงลอย และอาชีพเกี่ยวเนื่องในจังหวัดระยอง จำนวน 820 คน รวมตัวยื่นเอกสารให้ทนายความ เตรียมฟ้องร้องต่อศาลกรณีบริษัท SPRC ต้นเหตุทำน้ำมันรั่วกลางทะเลระยอง หลังผ่านมากว่า 1 ปีแล้ว ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล สัตว์น้ำ และระบบนิเวศใต้ท้องทะเล

ซึ่งในการรวมตัวกันดังกล่าว ยังได้มีการนำภาพถ่ายซากสัตว์ทะเลที่ตายจากเหตุน้ำมันรั่วขึ้นกระดาษโชว์ พร้อมกับเรียกร้องในทางบริษัทฯ แสดงความความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังด้วย

นายวีรศักดิ์ คงณรงค์ นายกสมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยอง กล่าวว่า เหตุน้ำมันรั่วของ บ.SPRC ผ่านมาแล้ว 1 ปี ยังไม่ได้มีการแก้ไขในเรื่องอะไรเลย แม้กระทั่งเรื่องของทรัพยากรทางทะเล อาชีพผู้ได้รับผลกระทบและเกี่ยวเนื่องกับประมงทั้งระบบยังไม่ชัดเจน แม้บริษัทฯ จะมีการเยียวยาเบื้องต้นแต่กลุ่มกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดมองว่ามันไม่เกิดประโยชน์ยั่งยืน

รวบรัสเซียคลั่ง! พุ่งชนกระจกเซเว่น พนักงานบาดเจ็บ-วิน จยย.คิ้วแตก!!

เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566 เวลา 04.30 น. ศูนย์วิทยุเจ้าหน้าที่กิจการพิเศษเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี รับแจ้งเหตุ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศคลุ้มคลั่ง ทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ถนนคนเดินวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หลังรับแจ้งจึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยารีบไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุ พบนักท่องเที่ยวแตกตื่นมุงดูนักท่องเที่ยวเป็นผู้ชาย ลักษณะคล้ายสัญชาติรัสเซีย อายุประมาณ 35-40 ปี อยู่ในอากาคลุ้มคลั่ง ตะโกนโวยวาย เดินป้วนเปี้ยนอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น หน้าปากซอยวอล์กกิ้ง 14 โดยเจ้าหน้าที่กิจการพิเศษนำกำลังปิดล้อมไว้ ก่อนอาศัยจังหวะเผลอ บุกเข้าควบคุมตัวไว้ได้


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. Eec Time Thailand
Take Me Top